ด้วยเพราะเบื่อรถติด เบื่อขึ้นรถเมล์ ทั้งสองเหตุผลนี้ทำให้คุณลุง “เนตร สงวนสัตย์” ตัดสินใจหันมาปั่นจักรยานไปทำงานตั้งแต่ปี 2524 เมื่อครั้งที่ยังเป็นพนักการรถไฟแห่งประเทศไทย
เมื่อได้นั่งบนอานและออกแรงปั่น คุณลุงบอกว่ารับรู้ได้ถึงความเป็นอิสระเสรี ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิมที่ต้องเดินทางโดยรถเมล์จากบ้านหลังเก่าย่านโพธิ์สามต้น ฝั่งธนฯ มาถึงที่ทำงานย่านมักกะสัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ชั่วโมง แต่ปั่นจักรยานในเส้นทางเดียวกัน ปลายทางเดียวกัน ใช้เวลาเดินทางเพียง 40 นาทีเท่านั้น
ปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินและผูกพันกับสองล้อแบบแยกกันไม่ออก มิใช่เพียงการปั่นเพื่อออกกำลังกาย แต่เป็นการปั่นในชีวิตประจำวัน
ไลฟ์สไตล์ของคุณลุงเนตรจึงมีจักรยานไปด้วยทุกหนแห่ง
บนเส้นทางปั่นจักรยานของคุณลุงเนตรตลอดระยะเวลา 31 ปี มีความสุขทุกครั้งที่ได้ปั่น ได้ยิ้มเมื่อมองเห็นความสวยงามสองข้างทาง
“ถ้าอยู่บ้านวันธรรมดา ลุงก็จะปั่นไปซื้อของ ไปตลาด ไปทำธุระ เฉลี่ยวันหนึ่งก็ประมาณ 20 กิโลเมตร วันเสาร์ – อาทิตย์ ก็จะออกไปรอบปริมณฑล ไป-กลับ ก็ประมาณ 100 กิโลเมตร ลุงปั่นมาแล้ว 73 จังหวัด ไกลแค่ไหนลุงก็ไป”
คุณลุงเนตร บอกว่า การปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายแบบ “แอโรบิค” ไม่กระตุกกระชาก ไม่กระแทกกระทั้น ค่อย ๆ สร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อ ค่อย ๆ สร้างความแข็งแรงให้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ไม่จำเจติดอยู่กับกรอบขอบเขตของสนามเหมือนกีฬาชนิดอื่น ๆ
ขณะที่ปั่นจักรยานออกกำลังกายไปตามถนนต่าง ๆ ได้ท่องเที่ยว ได้เห็นสรรพสิ่งสองข้างทางอย่างใกล้ชิดชัดเจน ผ่านไปช้า ๆ ได้รับความเพลิดเพลิน ได้พบปะผู้คน ได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับชาวจักรยานทั่วประเทศ ทำให้ไม่เบื่อ ปั่นจักรยานออกกำลังกายได้ครั้งละนาน ๆ สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ได้รับความภูมิใจที่ตัวเองปั่นจักรยานไปได้ไกลเพียงนั้น (สุขภาพดีและความภูมิใจ ไม่มีขาย มีเงินร้อยล้าน พันล้าน หาซื้อไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง) และทุกวันนี้ยังใช้จักรยานเป็นพาหนะไปทำภารกิจในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รถไม่ติด ประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“ระหว่างทางที่ปั่นไป ได้ความสุขทางตา ได้เห็นสิ่งต่างๆสองข้างทาง ร่างกายเรารับการทรมานจากการปั่นไปไกลๆ ถ้าเราทนได้ แต่เรามีความสุข เราก็จะไม่รู้สึกว่าทรมาน ผลลัพธ์คือการได้สิ่งดีๆ เมื่อจบทริปก็มีความสุข ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย”
คุณลุงเนตร บอกว่า ปั่นจักรยานมาแล้วเหนือจรดใต้ ตะวันออก ตะวันตก อีสาน ขึ้นเขาลงห้วยรวมแล้ว 73 จังหวัด
ทริปต่างประเทศไปมาแล้วก็มาก เคยขึ้นรถไฟไปประเทศสิงคโปร์ ซื้อจักรยาน 1 คัน ราคา 17,000.- บาท ปั่นเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ 3 วัน แล้วปั่นจากชายแดนสิงคโปร์ เข้าประเทศมาเลเซีย จนถึง “บัตเตอร์เวิร์ด” ระยะทางประมาณ 800 กิโลเมตร รวมเวลา 10 วัน แล้วขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ คุณลุงยังเคยนำรถจักรยานขึ้นเครื่องบินไปลงที่เมือง “กาฐมาณฑุ” ประเทศเนปาล ปั่นเที่ยวในเมือง 2 วัน แล้วปั่นไปถึงเมือง “โพคลา” ใช้เวลา 3 วัน ปั่นผ่านเขตแดนเนปาล เข้าประเทศอินเดีย เดินทางด้วยรถไฟบ้าง รถยนต์บ้าง
ทั้งยังเคยนำรถจักรยานขึ้นเครื่องบินไปลงที่เมือง “ฮานอย” เหนือสุดของประเทศเวียดนาม ปั่นรถจักรยานเที่ยวอยู่ 1 วัน นอนค้าง 2 คืน แล้วปั่นออกจากเมืองฮานอย เดินทางถึงเมือง “โฮจิมินซิตี้” โดยใช้เวลาเดินทาง 15 วัน รวมระยะทาง 1,800 กิโลเมตร
“ปัจจุบันน่าจะปั่นเกิน 100,000 กิโลเมตรไปแล้ว จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาแล้วทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ทำให้ลุงคิดว่า ลุงมีความสามารถปั่นจักรยานรอบโลกได้”
ปัจจุบันคุณลุงเนตรในวัย 70 ปี สามารถปั่นจักรยานในทางราบได้วันละ 100 กิโลเมตรมีแรงบันดาลใจอันแรงกล้าว่า ก่อนตายขอถวายชีวิตเพื่อ“ปั่นจักรยานรอบโลก” ตามความตั้งใจ ใฝ่ฝัน มุ่งมั่นและฟันฝ่าที่จะทำให้สำเร็จให้จงได้
ทั้งยังยืนยันหนักแน่นว่า จะปั่นจักรยานไม่หยุด และไม่เคยคิดหยุดปั่นแม้แต่วันเดียว