Ride a bike Column
ร้อยเรื่องเมืองนิเวศ : เมืองประหลาด

โดย   มองเมือง

 

              มาทำความรู้จักสภาพการณ์จราจรและการคมนาคมขนส่งของประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ ไทยเรา คือ นครกัลกัตตา ประเทศอินเดีย   เนื่องจากกัลกัตตา (Calcutta/Kolkata) เป็นมหานครใหญ่ จึงมีระบบและโครงข่ายคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ ทั้งการสัญจรทางอากาศ รถไฟและรถราง รถโดยสารประจำทาง รถรับจ้าง และการสัญจรส่วนบุคคล

           การสัญจรทางอากาศ ปัจจุบันมีบริษัทการบิน 4 บริษัท คือ การบินไทย (Thai Airway: TG) เจ็ตแอร์เวย์ส (Jet Airways: 9W) อินดิโก (IndiGo: 6E) และแอร์เอเชีย (AirAsia: AK) ที่บินตรงระหว่างกรุงเทพ-กัลกัตตา ท่าอากาศยานประจำนครกัลกัตตาคือ ท่าอากาศยานนานาชาติเนตาจี สุภาษ จันทรโภช (Netaji Subhas Chandra Bose International Airport: CCU) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 17 กิโลเมตร

           การสัญจร ระบบราง นครกัลกัตตามีรถไฟเชื่อมจากเมืองใหญ่ของอินเดียทุกเมืองและจากหลากหลายรัฐในประเทศ มีสถานีรถไฟที่สำคัญ ได้แก่ Howrah (HWH) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดีย. Kolkata (KOAA) และ Kolkata Sealdah (SDAH) อีกทั้งมีรถไฟใต้ดินภายในเมืองให้บริการในช่วง 07:00-22:00 น. และเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก (Subway/underground) สายแรกในประเทศอินเดีย นอกจากนั้น กัลกัตตายังเป็นเมืองเดียวในประเทศที่ยังมีระบบรถรางใช้อยู่ ซ้ำยังเป็นรถรางไฟฟ้าแห่งแรกของทวีปเอเชีย อีกด้วย !!!!

            รถโดยสารประจำทาง (Mail/Minibus) รถเมล์ในกัลกัตตามีอยู่จำนวนมาก หมายเลขและเส้นทางจะเขียนติดไว้หน้ารถและด้านข้างมักเป็นภาษาเบงกาลีและภาษาอังกฤษ สามารถสอบถามเส้นทางได้จากพนักงานบนรถหรือพนักงานตามป้าย รถเมล์ส่วนมากทาสีฟ้า-เหลือง เป็นบัสขนาดเล็ก ส่วนรถเมล์รุ่นใหม่จะใช้ป้ายอิเล็กทรอนิกส์เป็นภาษาอังกฤษ และมีขนาดคันรถใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 

         รถรับจ้างอื่นๆ รถแท็กซี่สีเหลืองล้วน (Taxi Cab) มีการติดตั้งมิเตอร์ค่าโดยสาร รถสามล้อเครื่องซึ่งมีเหลืออยู่จำนวนน้อยแต่ก็มีมิเตอร์ฯ ติดตั้งเหมือนกัน

         ปัจจุบัน นครกัลกัตตา มีประชากร 14 ล้านคน คิดและมองล่วงหน้าไปได้ไม่ยากนักว่า พลเมืองที่มากมายขนาดนี้ ย่อมจะเกิดผลกระทบด้านต่างๆ มากมายเพียงใด และกระบวนการตัดสินใจในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในเรื่องสำคัญเหล่านั้น ถือเป็นสามัญสำนึกแรกๆ ที่ภาครัฐและหน่วยงานเกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการเชิงรุก !! เชื่อไหมว่า นครกัลกัตตานี้ มีการใช้จักรยานเป็น “การสัญจรพื้นฐาน” (primary mode of transport) ของพลเมือง โดยประชากรเมืองถึงร้อยละ 11 (ของ 14 ล้านคน) ใช้จักรยานในการสัญจรในชีวิตประจำวัน

           น่าทึ่งขึ้นไปอีกว่าทางภาครัฐ ได้กำหนดมาตรการห้ามหรือไม่อนุญาตให้พลเมืองปั่นจักรยานสัญจรไปตามถนนสายต่างๆ เกือบ 200 สาย ภายในนครกัลกัตตาในระหว่างวัน

          ข้อมูลกล่าวถึงอีกว่า พลเมืองร้อยละ 11 (ของทั้งสิ้น 14 ล้านคน) ใช้จักรยานสองล้อในการสัญจรทั่วเมืองมากถึง 2.5 ล้านเที่ยวต่อวัน ขณะที่พลเมืองส่วนอื่น มีการใช้รถยนต์เพียงร้อยละ 8 ของพลเมืองทั้งหมดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ความเร็วในการสัญจรเฉลี่ยของเมือง จึงทำได้เพียง 8-11 ไมล์ (หรือราว 13-18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เท่านั้น !!

          ประเด็นที่ผมทึ่งยิ่งกว่าคือ

          1) ในเมื่อพลเมืองใช้การสัญจรด้วยการปั่นเป็นหลัก (จักรยาน ร้อยละ 11 รถยนต์ ร้อยละ 8) แล้วทำไมรัฐจึงต้องห้ามใช้จักรยานในถนนสายสำคัญ 200 สายทั่วมหานครกัลกัตตา

          2) ในเมื่อมีการใช้จักรยานมากกว่ารถยนต์ แต่ทำไมภาครัฐของนครกัลกัตตายังให้ความสำคัญแก่รถยนต์มากกว่า นั่นหมายถึง ให้ความสำคัญแก่คนชั้นกลางและคนชั้นสูง ที่เป็นพลเมืองส่วนน้อยและกระแสจราจรส่วนน้อย แทนที่จะให้ความสำคัญต่อคนจน และคนชั้นกลางเป็นหลัก ??

          3) ในเมื่อนครกัลกัตตามีการใช้จักรยานสัญจรมากกว่ารถยนต์ ทำไมการบริหารจัดการการคมนาคมขนส่งของภาครัฐ จึงให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงข่ายถนนเพื่อรองรับรถยนต์มากกว่าการสัญจรเพื่อการเดินและปั่นอย่างแตกต่างกันลิบลับ ทำไมระยะเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปี ภาครัฐจึงไม่เร่งส่งเสริมโครงข่ายสัญจรเพื่อจักรยานและการเดิน เช่น ทางเท้าที่กว้างกว่าปัจจุบัน ไบค์เลนที่ปลอดภัย และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อการเดินและปั่น (เช่น แนวร่มไม้ ที่จอดจักรยาน ร้านซ่อมจักรยาน ฯลฯ) 

           หันกลับมามองประเทศไทย แม้เมืองใหญ่ต่างๆ ทั่วไทย พลเมืองส่วนใหญ่ใช้รถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นหลัก และมากกว่าการสัญจรด้วยจักรยานหลายเท่าตัวก็ตาม แต่ปรากฏการณ์วิกฤติจราจรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า จักรยานไม่ได้เป็นสาเหตุให้กีดขวางต่อการจราจรความเร็วสูง (รถยนต์-มอเตอร์ไซค์) แบบที่ภาครัฐของนครกัลกัตตา (อินเดีย) และนครเซี่ยงไฮ้-ปักกิ่ง (จีน) โบ้ยสาเหตุให้จักรยาน ซ้ำยังออกมาตรการมากมายเพื่อบั่นทอนและลดทอนผู้ใช้จักรยาน หรือไม่มีการส่งเสริมการใช้จักรยานให้เป็นการคมนาคมกระแสหลักของเมือง สภาพการจราจรของเมืองใหญ่ทั่วไทย ก็ใกล้เข้าสู่ภาวะปิดตายอยู่รอมร่อทั้งจากนโยบายส่งเสริมการสัญจรที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (Motorized Transportation) และการไม่ส่งเสริมหรือเพิกเฉยต่อการส่งเสริมการสัญจรหลากทางเลือก โดยเฉพาะการทำให้เมืองเป็นเมืองแห่งการเคลื่อนที่ช้าแต่ยั่งยืน (Slow-life City)

           คำถามคือ

              ภาครัฐของเมืองต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งภาครัฐส่วนกลางและภาครัฐส่วนท้องถิ่นทั่วไทย ควรดำเนินนโยบายสาธารณะนานาประการที่จะลดทอนการสัญจรทางเลือก เช่น การเดินและการใช้จักรยานของพลเมือง โดยไปเพิ่มการพัฒนาโครงข่ายถนนเพื่อรถยนต์อย่างสุดโต่งอีกต่อไป หรือภาครัฐของเมืองต่างๆ ทั่วโลกและทั่วไทยควรหันกลับมาทบทวนโดยด่วน ถึงการเร่งพัฒนาส่งเสริมการสัญจรหลากทางเลือกโดยเฉพาะการพัฒนาเมืองแห่งการเดินและปั่น เมืองนิเวศที่ร่มเย็น ประหยัดพลังงาน มลพิษต่ำ  และเมืองที่น่าอยู่น่าเที่ยวด้วยกลยุทธ์การเคลื่อนที่อย่างยั่งยืนหรือการสัญจรสีเขียว (Sustainable Mobility / Green Mobility) กันแน่ ???? 

                คุยกันเรื่องกัลกัตตา ทำให้ผมหวนนึกถึงบทกวีของท่าน รพินทรนาถ ฐากูร มหากวีและปรัชญาเมธี ผู้มีเรือนกำเนิดจากกัลกัตตา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ประจำปี ค.ศ. 1913 และเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รัรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เขาสร้างบทกวีชื่อ คีตาญชลี (song offerings / prayer offering of song) แปลเป็นภาษาไทยโดยท่านกรุณา กุศลาศัย ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2512 ในท่อนที่ว่า

... Where the mind is without fear and the head is held high. Where knowledge is free. Where the world has not been broken up into fragments by narrow domestic walls. Where words come out from the depth of truth. Where tireless striving stretches its arms towards perfection. Where the clear stream of reason has not lost its way into the dreary desert sand of dead habit. Where the mind is led forward by thee. Into ever-widening thought and action Into that heaven of freedom, my Father, let my country awake ...       (Rabindranath Tagore's Gitanjali)

 

... ที่ที่จิตใจปราศจากความกลัวและไม่ต้องก้มหัวให้ใคร ที่ที่ความรู้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย
                ที่ที่โลกไม่ถูกแบ่งแยกเป็นเศษเสี้ยวด้วยผนังกำแพงบาง ๆ ภายในประเทศ
                ที่ที่คำพูดเปล่งออกมาจากความจริงจากก้นบึ้ง ที่ที่ความพยายามได้ยื่นแขนออกไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมอย่างไม่มีวันเหนื่อยล้า
                ที่ที่ธารกระแสแห่งเหตุผลที่ชัดเจน จะไม่หลงทางไปท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้งซึ่งเกิดจากอุปนิสัยอันตายซากไร้ชีวิต
                ที่ที่จิตใจได้รับการชี้นำจากพระเจ้า ไปสู่ความคิดและการกระทำอันกว้างใหญ่ไพศาล
ไปสู่สรวงสวรรค์แห่งเสรีภาพ...ได้โปรดพ่อข้า...จงทำให้บ้านเมืองของข้าตื่นขึ้นในบัดดลฯ ...
(บทกวี “คีตาญชลี” ประพันธ์โดย รพิณทรนาถ ฐากูร แปลความโดย จารุพรรณ)

 

ณ ที่ใดดวงใจมิไหวหวั่น ไม่พรึงพรั่นหวั่นระแวงแหนงฉงาย ณ ที่ใดอยู่ได้ด้วยเกียรติพราย มิต้องค้อมเศียรถวายผู้ใดเลย

    ณ ที่ใดไร้ซึ่งอวิชา ล้วนวาจาส่อสัตย์จัดเฉลย ณ ที่ใดโลกหล้าพาเสบย ไม่เฉยเมยเกี่ยงวิรุธประทุษฐ์กัน

    ณ ที่ใดมีความพยายามยิ่ง อุตสาหะเพื่อสิ่งสมบูรณ์มั่น ณ ที่ใดธารใสแห่งเหตุนั้น ไม่เหือดแห้งไปพลันด้วยชาชิน

    ณ ที่ใดดวงใจจรดล สู่สถลแห่งกรรมกระทำสิ้น อีกพลังจิตตาเป็นอาจิณ ขอสวรรค์โปรดยินดลบันดาล มาตุภูมิข้าไซร้ได้สัญจร สู่นครอันบำราศเรื่องร้าวฉาน

     ณ ที่นั้นขอพระโปรดประทาน ให้สัมฤทธิ์กิจการสมใจเทอญฯ            (หนังสือ "คีตาญชลี"- แปลโดย กรุณา  -เรืองอุไร กุศลาสัย)

 

แหล่งข้อมูล :
Kolkata Tries to Reduce Traffic in the Worst Possible Way, SARAH GOODYEAR, OCT 17, 2013

กระทรวงการต่างประเทศ http://sameaf.mfa.go.th/th/country/south-asia/tips_detail.php?ID=4439&SECTION=40

http://www.theatlanticcities.com/commute/2013/10/kolkata-tries-reduce-traffic-worst-way-possible/7264/

banner ด้านขวา 1
banner ด้านขวา 2
Peenfa Creation